รากฐานเปรียบเสมือนหัวใจของสิ่งก่อสร้างทุกประเภท ตั้งแต่บ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ ไปจนถึงตึกระฟ้า หากรากฐานไม่มั่นคง อาคารทั้งหลังย่อมประสบปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ในงานวิศวกรรมโยธา การเลือกใช้ เสาเข็ม จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามลักษณะดินและสภาพพื้นที่ บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักกับเสาเข็มหลัก ๆ ที่ใช้ในปัจจุบัน พร้อมทั้งปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับ ฐานราก
เป็นวิธีที่คลาสสิกและพบเห็นได้บ่อยที่สุดในโครงการก่อสร้างทั่วไป
วิธีการ: ใช้วิธี ตอก เสาเข็มสำเร็จรูป (มักเป็นคอนกรีตอัดแรง) ลงไปในดินด้วยปั้นจั่นหรือเครื่องจักรขนาดใหญ่จนกระทั่งได้ความลึกและกำลังรับน้ำหนักตามที่วิศวกรกำหนด
ข้อดี: รับน้ำหนักได้ดี, มีกำลังที่แน่นอน เพราะเป็นเสาเข็มที่ผลิตจากโรงงาน
ข้อเสีย: ก่อให้เกิด แรงสั่นสะเทือนและเสียงดัง อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เมื่อต้องทำงานในพื้นที่แคบ ชุมชน หรือใกล้กับอาคารเดิม อาจทำให้โครงสร้างข้างเคียงเสียหายได้
เป็นทางเลือกที่ดีเมื่อการตอกเสาเข็มไม่สามารถทำได้ หรือต้องการเสาเข็มที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
วิธีการ: เจาะ หลุมดินด้วยเครื่องจักรจนได้ความลึกที่ต้องการ จากนั้นใส่เหล็กเสริม (เหล็กข้ออ้อย) ลงไปในหลุม แล้ว เทคอนกรีต ลงไปแทนที่ดินที่ถูกเจาะออกไป
ข้อดี: ลดปัญหาแรงสั่นสะเทือนและเสียงดัง อย่างมาก, สามารถทำเสาเข็มขนาดใหญ่และลึกมาก ๆ ได้, มีความยืดหยุ่นในการปรับความยาวตามสภาพชั้นดินจริง
ข้อเสีย: ขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลานานกว่า, คุณภาพของคอนกรีตที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพหน้างานและการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด
เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาเพื่อแก้ปัญหาการทำงานในพื้นที่จำกัด และงานต่อเติมอาคาร
วิธีการ: เป็นการเจาะเสาเข็มขนาดเล็ก (เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15-30 ซม.) โดยใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก สามารถนำเข้าพื้นที่แคบได้อย่างง่ายดาย โดยทั่วไปนิยมใช้ เสาเข็มเหล็ก ที่ถูกแบ่งเป็นท่อน ๆ แล้วนำมาเชื่อมต่อกันขณะเจาะลงดิน
ข้อดี:
ไม่ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน เหมือนการตอกเสาเข็ม
ทำงานในพื้นที่จำกัดได้ดี (เช่น การต่อเติมบ้านที่มีพื้นที่รอบบ้านน้อย)
ติดตั้งได้รวดเร็ว และมักใช้เวลาไม่นาน
ข้อเสีย: รับน้ำหนักได้น้อยกว่าเสาเข็มเจาะหรือตอกขนาดใหญ่ (เหมาะสำหรับอาคารขนาดเล็ก การต่อเติม หรือการเสริมฐานราก)
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้เสาเข็มประเภทใด เมื่อเวลาผ่านไป การทรุดตัวของอาคารย่อมเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชั้นดินอ่อนอย่างกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการ ซ่อมฐานราก
รอยแตกร้าวขนาดใหญ่: มีรอยร้าวขนาดกว้างและยาวที่ผนังหรือพื้น โดยเฉพาะรอยที่เกิดขึ้นเฉียง ๆ หรือเป็นรูปตัว V
ประตู/หน้าต่างติดขัด: เปิด-ปิดประตูหรือหน้าต่างยาก เนื่องจากวงกบเกิดการบิดเบี้ยวจากการทรุดตัวของอาคาร
พื้นทรุด/ระดับต่างกัน: พื้นภายในหรือภายนอกอาคารเกิดการทรุดตัว จนเห็นได้ชัดว่าพื้นไม่ได้ระดับเดียวกัน
หากพบปัญหาการทรุดตัวที่ไม่เท่ากัน วิศวกรจะเข้ามาประเมินและแนะนำวิธีแก้ไข ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการ เสริมเสาเข็มใหม่ ให้แก่ฐานรากเดิม โดยวิธีที่นิยมใช้คือ:
ใช้เสาเข็มไมโครไพล์: เป็นที่นิยมที่สุดในการซ่อมแซม เนื่องจากสามารถเจาะเสาเข็มขนาดเล็กเข้าไปใต้ฐานรากเดิมได้ โดยไม่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนหรือกระทบกระเทือนโครงสร้างที่เหลืออยู่
วิธีฐานรากแผ่ (Ground Improvement): ในบางกรณีที่ไม่รุนแรง อาจใช้เทคนิคการอัดสารเคมีหรือซีเมนต์เข้าไปในดินใต้ฐานรากเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักของดิน (Settlement Control)
การก่อสร้างที่ได้มาตรฐานเริ่มต้นจากการเลือก รากฐานที่เหมาะสม กับสภาพดินและน้ำหนักของอาคาร และการ ซ่อมแซมที่รวดเร็ว เมื่อพบสัญญาณเตือนเท่านั้น ที่จะช่วยยืดอายุและรักษาความมั่นคงปลอดภัยของอาคารให้ยาวนานที่สุด